วันจันทร์, 20 พฤษภาคม 2567

เรื่องสยอง..ช่วยยายด้วยไอ้หนู

เรื่องสยอง..ช่วยยายด้วยไอ้หนู

สมัยที่ผมยังขับแท็กซี่อยู่ในกรุงเทพฯ เรื่องการมีผู้โดยสารประจำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ผมจะมียายคนหนึ่งซึ่งแกเป็นเพื่อนของยายผมเอง แกอายุยืนมาก ยายผมตายไปเกือบสิบห้าปีแล้วแต่แกก็ยังแข็งแรงอยู่ ตอนนั้นแกอายุประมาณแปดสิบปี

เวลาไปไหนมาไหนแกจะโทรบอกผมล่วงหน้าอย่างน้อยก็วันหนึ่งให้ผมไปรับที่บ้าน ส่งแกไปที่นั่นที่นี่แล้วรอรับแกกลับ หากนานมากแกก็มีเงินพิเศษเพิ่มให้ บางงานอย่างเช่นงานบวช งานศพ ถ้าเข้าไปร่วมงานไม่นานแกก็จะให้ผมรออยู่ด้วย บางทีก็รอในรถแท็กซี่หรือไม่ก็เข้าไปร่วมงานด้วยเสียเลย

แน่นอนแกให้เงินเพิ่ม แถมผมยังได้อาหารจากบ้านงานไปกินด้วยทำให้ประหยัดไปได้อีกมื้อ

ยายแกชื่อ นิ่ม ตอนยายผมยังอยู่ ผมยังไม่ได้ขับแท็กซี่ มาขับหลังยายเสียสองปี มาเจอยายนิ่มแกเรียกรถแล้วพอคุยไปคุยมาเลยเท้าความจำกันได้ ตั้งแต่นั้นก็ผูกปิ่นโตเรียกรถผมทุกครั้ง ยายนิ่มมีลูกแค่คนเดียว มีหลานแค่สองคน มีเพียงครั้งเดียวที่ผมเห็นทั้งลูกหลานและสะใภ้แกครบครอบครัว ตอนนั้นแกเรียกใช้บริการผมให้ไปส่งที่ดอนเมือง

ยายนิ่มไม่ได้ไปขึ้นเครื่องบินเที่ยวเชียงใหม่หรอกครับ แต่แกไปส่งลูกหลาน ขากลับแกยังคุยถึงลูกหลานอย่างมีความสุข ครอบครัวลูกแกก็มีรถยนต์ใช้ แต่ยายแกชอบเรียกบริการผม แกเคยบอกว่าเกรงใจลูกมัน เอาไว้ใช้ขับไปทำงานและส่งหลานไปโรงเรียน

อ้อ! ลูกชายแกมีเมียตอนอายุมากแล้ว อายุเกือบหกสิบ ส่วนสะใภ้แกอายุสามสิบเอง พอมีลูกก็เลยยังเล็ก มีหัวปีท้ายปีทันใจดี ผมจำได้ว่าน่ารักน่าชังด้วยกันทั้งสองคน สะใภ้ก็เงียบ ๆ ลูกชายแกก็สุภาพดูเป็นผู้ใหญ่ใจดี วันไปส่งที่ดอนเมืองยังให้เงินผมเพิ่มตั้งสามร้อยบาทอีกต่างหาก

หลังจากทราบว่ายายผมเคยเป็นเพื่อนกับยายนิ่ม คืนนั้นผมนอนหลับไปแล้ว ยายนิ่มแกโทรเข้ามือถือ ปกติแกไม่โทรดึกดื่นหรอกครับ น้ำเสียงปลายสายนั้นเบาราวมาจากที่ไกล ๆ แต่พอจับความได้ว่า

“ช่วยยายด้วยไอ้หนู ยายอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันมืดมาก”

หลังจากตั้งสติได้ ผมก็รีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ยายนิ่มก็เล่าว่า

“ยายมากับลูกกับหลาน สะใภ้ด้วย มารถลูก เขาจะไปเที่ยวกัน เขาชวนยายออกมาด้วย ที่จริงยายไม่อยากไปหรอก ง่วงมาก แต่ขัดเขาไม่ได้ เขาอยากให้ไปสักที่ ไปดูอะไรสักอย่าง ยายลืมแล้ว แต่พอ…”

“ยายอยู่ไหน ตรงนั้นเขาเรียกว่าอะไร” ผมรีบขัด เกรงท่ายายแกจะยาว เพราะเดี๋ยวผมจะไปช่วยไม่ถูก

“ไม่รู้สิ มันมืดมาก เหมือนป่า ไม่ได้ยินเสียงรถ ไม่มีเสียงคน ไม่มีเสียงอะไรที่ยายรู้จัก มันเงียบจริง ๆ”

“ยายลองฟังดูดี ๆ” ผมเองตอนนั้นก็ไม่รู้จะช่วยยังไง แต่อยากช่วยแกมาก “ยายเจ็บตรงไหน มีใครเป็นอะไรมั่ง”

“ยายไม่เป็นอะไร คนอื่นยายไม่รู้”

ทันใดนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์เป็นกลุ่มใหญ่ดังมาก ราวกับพวกรถแว้นวัยรุ่น ผมรีบถาม “ยายออกจากบ้านนานไหม ถึงได้มาเจออุบัติเหตุ”

“สองสามนาทีมั้ง เหมือนเพิ่งออกจากบ้านเอง”

ผมนึกได้ทันที จากบ้านแกสองกิโลเมตรที่อยู่ในซอยบ้านสวน ออกมาปุ๊บก็จะเจอถนนทางหลวง พวกวัยรุ่นชอบจับกลุ่มแข่งรถบนถนนที่ตัดใหม่แยกไปทางเลี่ยงเมือง ผมนึกออกแล้ว! ก็รีบบอกยาย

“ยายรออยู่ตรงนั้นนะ ผมจะไปช่วย!”

ผมคว้ากุญแจรถได้ก็นึกได้ว่าควรจะแจ้งตำรวจด้วย โทรอยู่หลายครั้งก็ไม่ติด นึกได้ว่าต้องผ่านโรงพัก แวะแจ้งความก่อนดีกว่า พอถึงโรงพักผมรีบเล่าให้ตำรวจฟัง แต่ตำรวจหาว่าแค่นี้แจ้งความไม่ได้ ผมขอให้ตำรวจตามผมไปที่ถนนเลี่ยงเมือง แต่ตำรวจไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ

ผมจึงรีบขับไปทางที่คิดว่าใช่ ไม่ถึงยี่สิบนาทีจากบ้านก็ถึง แต่หายายและหารถไม่เจอ ไม่เจอแม้แต่อุบัติเหตุแถวนั้น

จนกระทั่งได้เห็นกลุ่มรถเด็กแว้นขับผ่านมา ผมจึงนึกได้ว่าตัวเองอาจจะเข้าใจผิดจากเสียงของรถเด็กพวกนี้ เพราะเสียงมันจะผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่า ยายนิ่มกับครอบครัวอาจจะเกิดอุบัติเหตุที่อื่นที่กลุ่มเด็กพวกนี้ขับแข่งผ่านมา

ผมจึงหยุดรอเด็กพวกนี้ผ่านมาอีกรอบแล้วขับตามไป แต่ก็ได้แต่ขับห่าง ๆ เพราะพวกมันมีรถยนต์สองคันปิดท้ายขบวน ไม่ยอมให้มีรถสักคันต่อท้ายรถที่แข่ง ขับตามไปก็คาดเดาไปว่าจะเกิดอุบัติเหตุตรงไหน แต่ก็ไม่มี มาคิดอีกทีคงไม่ใช่ถนนหลวง เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุกลุ่มเด็กพวกนี้จะยังแข่งอยู่ได้อย่างไร

แล้วก็เป็นจริง ผมแวะตัดเข้าทางลาดยางทางหนึ่ง เส้นนี้เป็นทางลัดไปออกราชพฤกษ์ได้ ปรากฏว่าพบรถยนต์ของครอบครัวยายนิ่มกับรถหกล้อที่บรรทุกแผ่นเหล็ก! ศพกระเด็นออกจากรถกระจายทั่วบริเวณ ที่สำคัญศพยายนิ่มคอขาด ส่วนหัวกระเด็นตกเข้าไปอยู่ในพงหญ้าไกลออกไปอีกหลายเมตร สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากแผ่นเหล็กที่รถหกล้อบรรทุกพุ่งมาตัดเข้าจนเป็นอย่างที่เห็น…