วันจันทร์, 20 พฤษภาคม 2567

เหล็กไหล สิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งมหัศจรรย์ ที่หลายคนอยากได้ไว้ครอบครอง

เหล็กไหล สิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งมหัศจรรย์ ที่หลายคนอยากได้ไว้ครอบครอง

วงการเครื่องรางของขลังโดยเฉพาะ ‘เหล็กไหล’ มีการตื่นตัวกันขึ้นมาทันทีหลังจากเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังไทยรักไทย ได้ออกมาเปิดเผยถึงความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหาริย์ของ “โคตรเหล็กไหล” มูลค่า 700 ล้านบาทว่า เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว มีชาวบ้านไปเจอโคตรเหล็กไหลดังกล่าวแล้วนำไปเก็บไว้ แต่ปรากฏว่าเกิดเรื่องไม่ดีกับชาวบ้านคนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งนำมาให้ตนเพราะเห็นว่าเป็นคนชอบเดินสายทำบุญไปตามสถานที่ต่างๆ น่าจะเหมาะสมกับการครอบครองเหล็กไหล

หลังจากได้มาก็นำมาบูชาก็เกิดเรื่องดีๆ กับตัวเองมากมายภายในเวลาไม่กี่เดือน ภายในไม่ถึง 1 ปี ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีอย่างมาก เสี่ยงทายขออะไรก็มักสมหวัง จึงทำพิธีบูชาครั้งใหญ่ จากนั้นมีชาวบ้านในพื้นที่แห่มาพรและเสี่ยงทายมากมาย ถ้าขออะไรแล้วได้สมหวังจะยกขึ้น ถ้าไม่สมหวังจะยกไม่ขึ้น กลายเป็นหินเหล็กไหลที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเวลานั้น มีสถานีโทรทัศน์และสื่อมวลชนมาทำข่าวจำนวนมาก ถึงขั้นมีคนที่ชื่นชอบเหล็กไหลจากต่างประเทศมาติดต่อขอซื้อในราคา 700 ล้านบาท แต่ไม่ขาย เก็บไว้บูชาที่พรรคพลังไทยรักไทย ที่บ้านสองคอน ตำบลโนนใหม่ อำเภอเมืองอำนาจเจริญ

นอกจากนี้ นายคฑาเทพ ยังท้าด้วยว่า “พูดไปอาจไม่มีใครเชื่อ ขอให้มาพิสูจน์ให้เห็นกับตา แล้วจะได้รู้ว่ามีอะไรที่ไม่เคยเห็นอยู่จริง”

อย่างไรก็ตาม สำหรับความเชื่อเรื่องแบบนี้ไม่ใช่มีแค่นายคฑาเทพ คนเดียวเท่านั้น คนไทยจำนวนมากก็เชื่อในเรื่องแบบนี้ โดยเชื่อว่าเหล็กไหลนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์และเป็นของลึกลับ น้อยคนนักที่จะมีไว้ในครอบครอง เพราะการที่จะได้เหล็กไหลที่ศักดิ์สิทธิ์มาครอบครองได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อพบเจอแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาได้เลยในทันที จะต้องมีพิธีตัดและอันเชิญมาบูชา หากทำไม่

จากการพูดคุยกับผู้รู้และชื่นชอบในเรื่องนี้บอกว่า เหล็กไหลเป็นธาตุกายสิทธิ์เป็นของลี้ลับและมีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพบแล้วจะต้องทำพิธีตัดแล้วอัญเชิญมาบูชา

สวนพิธีตัดเหล็กไหลนั้นผู้รู้บอกว่า การจะตัดเหล็กไหลอันเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้นั้นไม่ใช่ของง่ายที่ใครๆ จะสามารถทำได้ทุกคน เนื่อจากเหล็กไหลเป็นวัตถุธาตุที่มีลักษณะพิเศษ คือหากเป็นเหล็กไหลชั้นดีหรือที่เรียกว่าเหล็กไหลน้ำหนึ่งนั้นเหล็กไหลประเภทนี้สามารถที่จะยืด ตัวเองหรือย้อยตัวเองลงมาจากรังที่มันอาศัยอยู่ได้ อีกทั้งยังสามารถ หดตัวเองกลับได้และสามารถเคลื่อนตัวไปไหนมาไหนได้ราวกับเป็นสิงทีมีชีวิตและมีจิตวิญญาณ

การตัดเหล็กไหลในธรรมชาติจึงแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือ การตัดเหล็กไหลชั้นดีหรือเหล็กไหลน้ำหนึ่งที่ไม่ยอมแข็งตัวเอง ตามธรรมชาติซึ่งต้องใช้วิชาการตัดเหล็กไหลเพื่อตัดเหล็กไหล ประเภทนี้ออกจากรังของมัน กับอีกประเภทหนึ่งคือการตัดเหล็กไหล ชั้นรองที่แข็งตัวเองอยู่ตามผนังภายในถ้ำซึ่งสามารถตัดเหล็กไหลประเภทนี้ออกมาจากรังได้ง่ายกว่าการตัดเหล็กไหลน้ำหนึ่งมาก

ดังนั้น ผู้ที่จะทำการตัดเหล็กไหลได้จะต้องเป็นผู้ที่รู้ในศาสตร์วิชานี้อย่างแท้จริงและจะต้องมีประสบการณ์จริงในการ ตัดเหล็กไหล เพราะหากจะอาศัยเพียงแค่คำบอกเล่าย่อมไม่อาจทำการตัดเหล็กไหลได้ อีกทั้งต้องเคยเป็นลูกมือที่คอยช่วย ครูบาอาจารย์ไนการประกอบพิธีตัดเหล็กไหลมาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าถึงหกครั้งจึงพอจะสามารถกระทำพิธีตัดเหล็กไหลด้วยตัวเองได้ นอกจากนี้ ยังต้องเรียนรู้ถึงวิธีป้องกันอันตรายอันอาจเกิดจาก ฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลในขณะที่ตัดเหล็กไหลแต่ละชนิดอีกด้วย

เหล็กไหลแต่ละชิ้นจะมีจิตวิญญาณที่แตกต่างกันออกไป บางชิ้นเป็นสัมมาทิฐิซึ่งผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลจะต้องปฏิบัติตน อย่างเคร่งครัดในเรื่องการบูชาและการดูแล มิฉะนั้นพลังงานภาย ในเหล็กไหลอาจให้ผลร้ายแก่ผู้ที่ครอบครองได้ ในการตัดเหล็กไหล จึงมีผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้องจบชีวิตลงไปมากมายหลายรายแล้ว การตัดเหล็กไหลจึงต้องกระทำโดยผู้ที่มีประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากครูบาอาจารย์ในสายนี้โดยตรงเท่านั้น

จึงจะสามารถรู้เคล็ดลับวิธีการตัดเหล็กไหลแต่ละชนิดและรู้ถึงลักษณะของเหล็กไหลแต่ละชนิดว่ามีคุณสมบัติอย่างไร มีฤทธิ์อำนาจดีทางไหนประเภทไหนใช้พกติดตัวได้ประเภทไหนใช้ทำน้ำมนต์หรือประเภทไหนเป็นอันตรายห้ามนำมาไว้ในครอบครอง ซึ่งหากไม่รู้จริงในเรื่องเหล่านี้ก็อาจนำพาอันตรายมาถึงตัวโดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

วิธีการตัดเหล็กไหลนั้นจะต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ถึงลักษณะและคุณสมบัติของเหล็กไหลแต่ละซนิดเสียก่อน จากนั้นจึงศึกษาถึงธรรมชาติของเหล็กไหลแต่ละชนิดว่าเหล็กไหลแต่ละชนิดนั้นชอบอาศัยอยู่ในสถานที่แบบใดเราจะต้องทราบเกี่ยวกับ ลักษณะของสถานที่ว่าถ้ำในลักษณะไหนมีเหล็กไหลอาศัยอยู่ โดยถ้ำที่เหล็กไหลชอบอาศัยอยู่นั้นทั่วไปแล้วจะต้องเป็นถ้ำที่อยู่ในป่าลึกลี้ลับอยู่ห่างไกลจากผู้คน และเป็นถ้ำที่เข้าถึงได้ยากอีกทั้งมักจะได้ยิน เสียงฟ้าคำรามในแถบบริเวณถ้ำนั้นอยู่บ่อย ๆ ไมว่าจะมีพายุฟ้าฝนหรือไม่ก็ตาม ส่วนบรรยากาศบริเวณถ้ำจะอึมครึม แสงแดดจะไม่ร้อน จัดแต่จะออกนวลๆ และเมื่อเข้าไปภายในถ้ำจะมีความชื้นสูง อากาศจะเยือกเย็นผิดปรกติ บางครั้งถึงกับหนาวและมักพบธารน้ำ อยู่ภายในถ้ำด้วย

หากนำเครื่องใช้ใฟฟ้าติดตัวไป เครื่องใช้ไฟฟ้าจะถูกรบกวนและดึงพลังงานไฟฟ้าออกไปจนสังเกตเห็นได้ชัดเช่นเมื่อเปิดถ่านไฟฉายในถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าวจะพบว่าพลังไฟจากถ่านจะหมดลงอย่างรวดเร็วเป็นต้น หากได้พบสถานที่ที่มีลักษณะตามที่กล่าวมานี้แสดงว่าได้พบสถานที่ที่มีเหล็กไหลชั้นยอดประเภทเหล็กไหลนั้าหนึ่งอันเป็นสุดยอดในบรรดาเหล็กไหลที่ไม่ยอมแข็งตัวเองตามธรรมชาติซึ่งต้องรอผู้มีบุญบารมีมาเรียกหรือตัดเอาไปอย่างเช่น เหล็กไหลปีกแมลงทับ เหล็กไหลโกฏิปี เหล็กไหลเพลิง เหล็กไหลเจ้าป่า อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน

ในการตัดเหล็กไหลจะต้องรู้ถึงวิธีการที่จะทำให้เหล็กไหลยืดตัวออกมาจากรังเหล็กไหลเสียก่อนซึ่งวิธีการหนึ่งที่ใช้ได้ผลก็คือ “การนำน้ำผึ้งมาล่อ” แต่ขั้นตอนที่ยากกว่านั้นอยู่ที่ว่าเมื่อเหล็กไหลยืดตัวออกมาเสพน้ำผึ้งแล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถตัดเหล็กไหลนั้นได้ ซึ่งตามตำนานก็ได้กล่าวถึงวิธีการตัดเหล็กไหลไว้หลากหลายวิธีด้วยกัน เช่น การตัดโดยใช้เส้นผมของผู้หญิงพรหมจรรย์ที่ชุบด้วยเลือดของสาวพรหมจรรย์นั้นอีกทีหรือการตัดโดยใช้กริชเงิน 9 ขดที่ลงอาคมสำหรับการตัดเหล็กไหลไว้โดยเฉพาะนอกจากนี้ก็ยังมีวิธีอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สามารถทำพิธีตัดเหล็กไหลได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ประพฤติตนดี ปฏิบัติรักษาศีลได้อย่างมั่นคง ไม่มีจิตใจที่ละโมบ ต้องมีการขออนุญาตจากเทพผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงค่อยทำพิธีตัดเอา มิฉะนั้นหากเราฝ่าฝืนด้วยกำลังหมายแย่งชิงเอาโดยพละการ มีความถือดีในพระเวทย์ ก็อาจทำให้มีเพทภัยถึงแก่ชีวิต หรือเกิดความขัดแย้งในหมู่คณะถึงขั้นที่ว่าวิบัติได้ด้วยฤทธิ์ของเทพผู้รักษาเหล็กไหลนั่นเอง

ส่วนการบูชาเหล็กไหลด้วยคาถาอาคมนั้น การบูชาเหล็กไหลโดยตามความเชื่อแล้วก็จะมีการบูชาด้วยการใช้คาถาอาคม ซึ่งเหล็กไหลจะมีความศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ได้ก็ต่อเมื่อผู้ที่บูชามีความเชื่อ มีความเคารพศรัทธาต่อพลังธาตุกายสิทธิ์ และต่อครูบาอาจารย์ที่ได้ทำการถ่ายทอดพระคาถาอาคมนั้นๆ นับได้ว่าใครที่ได้ครอบครองเหล็กไหลถือเป็นความโชคดี เหนือสิ่งอื่นใด ความสำเร็จในชีวิตจะเกิดขึ้นได้ เราต้องเป็นผู้สร้างเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถสร้างให้ได้ แต่จะเป็นเครื่องช่วยนำทางให้พบแต่ความโชคดี แคล้วคลาด ปลอดภัย สิ่งที่สำคัญเราพึงระลึกอยู่เสมอว่า คนทุกคนล้วนแต่อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่ตั้ง ขอให้เราจงยอมรับกรรมนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือไม่ดีก็ตาม ให้มีสติอยู่เสมอจะได้ไม่เสียสมดุลของชีวิต

การบูชาธรรมธาตุเหล็กไหล เริ่มต้นจากการตั้งนะโม 3 จบ จากนั้นให้ท่อง “พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ สะกะพะจะ บูชา จะ มหาบูชา ท่านผู้ดูแลรักษา ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ อันทรงฤทธิ์อานุภาพนี้ อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดีสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย หลั่งไหลเข้ามาสู่แก่ตัวข้าพเจ้า ชื่อ…..นามสกุล…..สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ นะมะอะอุ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ ”

ตอนกล่าวคาถา “นะ มะ อะ อุ” ท่านบอกว่าให้กำหนดจิตรับพลังเหล็กไหลเข้าไปที่ นะ (หน้าผาก), มะ (หน้าอก) , อะ(แผ่นหลัง) และ อุ (หน้าท้อง ที่จุดสะดือ)

แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับเหล็กไหลดังกล่าวที่ว่านั้น ตรงกันข้ามกับทางวิทยาศาสตร์ที่อาจกล่าวได้ว่า เหล็กไหล คือ โลหะ หรือวัสดุอื่นใดที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น อุกกาบาตจากนอกโลก ซิลิเกตจากใต้โลก และวัตถุที่มนุษย์สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้ เช่น ปรอท แกลเลียม โดยสามารถหลอมเหลวได้ในอุณหภูมิห้อง หรืออาจะเป็นโลหะผสมอื่นๆ สีสันของเหล็กไหลมีลักษณะเป็นสีรุ้งเมื่อตกกระทบกับแสงแดด หรือแสงไฟ เกิดจากการแทรกสอดในฟิล์มบาง ที่เป็นการแทรกสอดของแสงที่สะท้อนออกมาจากเนื้อวัตถุ